การบริหารและการนำองค์กรด้วยการเอาระบบ Command and Control หรือการบังคับบัญชาที่ใช้ Fear-based leadership ด้วยการใช้ความกลัวในการนำองค์กรจะใช้ได้ดีเมื่อเราต้องการแค่มือของผู้ตาม แต่ไม่ต้องการสมองและหัวใจ
ในปัจจุบันถ้าเราต้องการทั้งสมอง หัวใจและมือของทีมงานจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้นำจะต้องนำพลังแห่งความรักในรูปแบบของการสร้างกระบวนการชื่นชมและรักในความสามารถในตนเองเพื่อสะกิดความเก่งที่ซ่อนเร้นอยู่ภายใน รักในการชื่นชมความต่างของทีมงานเพื่อประสานและต่อยอดความคิดด้วยกัน
นอกเหนือจากนั้นการสร้างสรรค์บรรยากาศของความรักในการชื่นชมและเคารพพลังแห่งอัจฉริยภาพขององค์กรเพื่อสร้างความแตกต่างในการตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่หลากหลายและซับซ้อนมากขึ้น
**พลังแห่งความรักใน 3 มิติของผู้นำอันได้แก่
1. รักและชื่นชมศักยภาพที่อยู่ภายใน
2. รักจะชื่นชมศักยภาพและธรรมชาติของความต่างของคนรอบข้างเพื่อประสานให้คนเหล่านั้นกลายเป็นเทวดาและเทพธิดาเสริมดวง
3. รักที่จะสร้างบรรยากาศและวัฒนธรรมของทีมงานที่ต่อยอดให้เกิดเป็นแนวนวัตกรรมเพื่อสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆให้งอกเงย
ทั้ง 3 มิตินี้เป็นหัวใจสำคัญของผู้นำภายใต้ความซับซ้อนของภาวะการเปลี่ยนแปลงที่ซับซ้อนและรวดเร็วในปัจจุบัน
มิติแรกของความรักคือ รักและชื่นชมศักยภาพที่อยู่ภายใน
เป็นจุดเริ่มต้นของความมหัศจรรย์ที่เป็นบ่อเกิดของความรักที่ยิ่งใหญ่ ผู้นำจะต้องให้ความสำคัญกับการรักจะชื่นชมสิ่งดีๆ ที่อยู่ในตัวเองก่อน ถ้าความรักในระดับแรกยังไม่เกิดขึ้นก็ยากที่จะขยายพลังในการเป็นผู้นำไปในระดับต่อไปเพราะเมื่อตัวยังไม่เต็ม การจะให้ผู้อื่นก็จะยาก
**ปัจจัยสำคัญในการสร้างความรักและชื่นชมตัวเองก็คือ
1.ค้นหาต่อมสุขใจที่เป็นขุมพลังในการขับเคลื่อนความรักในตัวเรา การสร้างความรักที่เกิดจากการขับเคลื่อนจากพลังบวกของต่อมสุขใจจะทำให้เราสนุกและมีความสุขกับสิ่งที่เราทำ เมื่อเรามีความสนุก การสร้างกระบวนการแสวงหาการพัฒนาการเพื่อสะกิดความเก่งที่อยู่ภายในก็จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว การขับพรสวรรค์จากต่อมสุขใจด้วยการสร้างพรแสวงในการพัฒนาการจะสร้างผลงานและตามมาด้วยความเชื่อมั่นในตัวเอง
การรักและชื่นชมในตัวเองจะทำได้ง่ายถ้าเรามีความเชื่อมั่นในความเก่งจากผลงานที่แสดงออกมา ในขณะที่คนที่ไม่รู้จักตัวเองแต่พยายามที่จะเบ่งให้เกิดผลงานในสิ่งที่เราไม่สนุกสามารถทำได้ในระยะสั้น แต่ในระยะยาวอาการ Burn-out หรือหมดไฟจะเกิดขึ้นอย่างง่ายดาย
ที่ร้ายไปกว่านั้นถ้าสิ่งที่เขาทำดันไปอยู่บนต่อมเครียดซึ่งยิ่งทำก็ยิ่งไม่สนุก พลังความเครียดเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อต้องเบ่งตัวเองให้เก่งในเรื่องนี้ หลายครั้งที่ผู้นำต้องทำในสิ่งที่เครียดและต้องวิ่งเร็วจะมีความรู้สึกเหนื่อย มีความรู้สึกลบและทำให้ความมั่นใจในตัวเองลดลงอย่างรวดเร็ว ทำให้การชื่นชม รักและเคารพในตัวเองก็ทำได้ยาก
2. สร้างบัญชีออมรัก การเติมเต็มความรักและชื่นชมในตัวเองก็เปรียบเสมือนการฝากบัญชีในธนาคารที่ถ้าเราหมั่นฝากให้มากขึ้น บัญชีทางบวกก็จะมากขึ้นการเติมเต็มก็จะมีมากขึ้น การขยายผลในการทำในสิ่งที่เรารักจะเป็นการสร้างการขยายผลของการเติมเต็มความรักในตัวเอง
ในขณะเดียวกันถ้าเราทำในสิ่งที่เครียดก็เปรียบเสมือนการถอนพลังบวกที่เกิดขึ้น ยิ่งทำมากขึ้นเราก็ถอนมากขึ้น ผู้นำหลายคนมิได้ตระหนักถึงบัญชีออมรักนี้ หลายครั้งก็จะกระโจนเข้าไปทำสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ถนัดแต่ต้องเร่งความเร็วในผลงานทำให้ยิ่งเร่งยิ่งเครียด
3. สร้างโอกาสในการเติมเต็มความรักในตัวเอง ผู้นำที่ประสบทั้งความสำเร็จและความสุขจะต้องหาสนามหรือสถานการณ์ที่สามารถสร้างวีรบุรุษในการใช้แต้มต่อจากต่อมสุขใจให้เป็นประโยชน์สูงสุด ยิ่งบัญชีบวกมากเท่าไหร่เราก็จะเติมเต็มและให้คนอื่นได้มากเท่านั้น
การลิขิตชีวิตด้วยการสร้างพิมพ์เขียวในการเดินทางบนพื้นฐานของต่อมสุขใจจะทำให้การเติมเต็มของความรักในตัวเองเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว เราเลือกเกิดไม่ได้แต่เราสามารถจะเข้าใจธรรมชาติของตัวเองและเลือกที่จะลิขิตทางเดินที่จะเพิ่มพลังความรักและการชื่นชมตัวเองได้
ถ้าเราหมั่นสร้างปัจจัยทั้ง3ขั้นอย่างชาญฉลาดก็จะสร้างพื้นฐานในการสร้างความรักและชื่นชมตัวเอง ในคราวหน้าเราคงมาดูถึง 2 มิติของความรักที่เหลือเพื่อสร้างพลังแห่งความรักของผู้นำ ที่สามารถต่อยอดไปในการรักและชื่นชมคนอื่นรวมทั้งการสร้างบรรยากาศในการสร้างความรักให้งอกเงย
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 35 ฉบับที่ 3,026
โดย อาจารย์กฤษณ์ รุยาพร E-mail : kris@e-apic.com, Mobile 081-617-7785
|