ผู้บริหารและผู้นำทางธุรกิจหลายคนได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนกับผู้เขียนในการนำเอาแนวคิดของผู้เขียนในหนังสือเล่มใหม่ “ถอดรหัสความสุข” มาใช้เพื่อเป็นอาวุธในการสะกิดความเก่งบนพื้นฐานของต่อมสุขใจของลูกน้อง ทีมงานตลอดจนลูกๆที่เขารักที่บ้าน ผู้นำเหล่านั้นได้กล่าวอย่างน่าสนใจว่า เขาได้เห็นดวงตาของลูกน้องและลูกๆ ลุกวาวอีกครั้งหนึ่งหลังจากที่เหือดแห้งมานาน เขามองเห็นสภาวะทางอารมณ์ว่าเมื่อนึกถึงวันจันทร์เช้า ทั้งลูกน้องและลูกๆ ที่บ้านได้ส่งสัญญาณเดียวกันก็คือ “It’s time to have fun” หรือ “ได้เวลาสนุกแล้วซิ”
การเจียระไนด้วยการสร้างกระบวนการหยุดค้นหา เฝ้ามองสร้างสรรค์ ฟังและต่อยอดศักยภาพที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในของตนเองและคนสำคัญที่อยู่รายล้อมตัวเราเพื่อขับเคลื่อนต่อมสุขใจที่เป็นบ่อเกิดของพลังแห่งศักยภาพในระดับจิตใต้สำนึก (Subconscious) ประสานกับการพัฒนาความเก่งในด้านทักษะที่เกิดจากสมองในระดับจิตสำนึกเพื่อให้เกิดเป็นพลังและวุฒิภาวะของผู้นำที่พร้อมรับกับการเปลี่ยนแปลงในทุกรูปแบบ มีพื้นฐานอยู่ 4 ขั้นคือ
1หยุดค้นหาว่าธรรมชาติของต่อมสุขใจและต่อมเครียดของตัวเราคืออะไร การหยุดถามตัวเองเป็นการเริ่มต้นสำรวจประสบการณ์ที่ผ่านมากับเรื่องราวและอารมณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิต การมีเวลาย้อนกลับไปมองสภาวะทางอารมณ์จะทำให้เราตระหนักถึงต่อมพลังของศักยภาพที่มีอยู่ในตัวเราซึ่งคนส่วนใหญ่จะใช้เพียงไม่เกิน 10% ของความสามารถที่มีอยู่
บางครั้งเราไม่ได้ตระหนักและชื่นชมต่อมสุขใจนี้ เราก็จะไม่ได้ใช้มันเพื่อสร้างศักยภาพที่แท้จริงให้กับตัวเรา หลายคนมักอาจถูกการเปลี่ยนแปลงผลักดันให้ไปสะกิดต่อมเครียดโดยที่เราไม่รู้ตัว ทำให้เราไม่มีความสุขในการทำงานและก็สร้างมลพิษทางอารมณ์ให้เกิดขึ้นในทีมงานอีกด้วย วินาทีที่เรายอมรับและชื่นชมต่อมสุขใจอย่างแท้จริง จะเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการตื่นขึ้นมาตอนเช้าและเห็นแววตาที่ลุกวาวของตัวเราเอง
หลายองค์กรต้องการย่นเวลาในการค้นหาต่อมสุขใจจึงนำแบบสอบถามความถนัดเชิงอัจฉริยภาพที่เป็นส่วนหนึ่งของ“หนังสือถอดรหัสความสุข” ของผู้เขียนมาช่วยเป็นเครื่องมือในการช่วยทีมงานรู้จักต่อมสุขใจได้เร็วขึ้น
2เฝ้ามองภาวะทางอารมณ์ที่เกิดขึ้นจากต่อมสุขใจและต่อมเครียดอย่างมีสติ การเฝ้ามองอย่างมีสติและมีอุเบกขาคือการวางเฉย จะทำให้เรารู้จักมีอิสรภาพทางอารมณ์ที่จะเลือกให้ผลลัพธ์ของอารมณ์ในแต่ละวันเป็นอย่างไร
ถ้าอยากให้อารมณ์บวกก็จงทวีคูณการใช้ต่อมสุขใจเพิ่มสิ่งดีๆและความสุขให้แก่คนรอบข้างตลอดจนเข้าใจระดับมลพิษที่เกิดขึ้นจากต่อมเครียดซึ่งทำให้เรารู้ขีดจำกัดในการสร้างอารมณ์ลบถ้าต่อมสุขใจของตัวเราคืองานบริการและต่อมเครียดคืองานธุรการ เราก็สามารถจะวางตำแหน่งของดุลยภาพในการทำงานของตัวเราและบริหารอารมณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ยิ่งถ้าเราให้บริการมากขึ้นต่อมสุขใจในระดับจิตใต้สำนึกจะขับพลังบวกจากใจและถ้าเราฝึกฝนทักษะในการบริการด้วยการพัฒนาความเก่งในสมองเพื่อช่วยคนรอบข้างได้มากเท่าไหร่ เราก็จะทวีคูณความสุขใจได้มากขึ้นเท่านั้น ขณะเดียวกันเราก็จะรู้ข้อจำกัดในการทำงานธุรการของเราและสามารถสร้างวิถีของเป้าหมายและทีมงานที่เกื้อกูลได้มากขึ้น
3เริ่มสร้างสรรค์วิถีแห่งความสำเร็จโดยเอาต่อมสุขใจของเราเป็นศูนย์กลาง จงสร้างคุณค่าและทวีคูณความสุขด้วยการใช้ต่อมสุขใจในการเติมคุณค่าให้กับตัวเองทั้งร่างกายและจิตใจ สร้างความสัมพันธ์กับคนที่เรารัก สร้างความสนุกในการทำงานตลอดจนสร้างคุณค่าให้กับสังคมและองค์กรที่เราอยู่
ถ้าเรามีจิตที่มุ่งมั่นทำวันนี้ให้ดีที่สุดและไม่ยึดติดกับผลลัพธ์ที่ได้ เราสามารถที่จะดึงเอาศักยภาพไร้ขีดจำกัดซึ่งเป็นเสมือนพลังแม่เหล็กที่เหนี่ยวนำและดึงดูดสิ่งดีๆเข้ามาช่วยเหลือและสนับสนุนให้เราสามารถเดินไปถึงเป้าหมายที่วางไว้ได้
4 จงเปรียบตัวเองเป็นนํ้าชาที่ไม่เต็มแก้วที่พร้อมรับสิ่งดีๆจากคนรอบข้าง การเปิดใจกว้างและเข้าใจธรรมชาติอย่างปล่อยวางจะทำให้เรามองเห็นความคิดสร้างสรรค์และความปรารถนาดีจากคนรอบข้างที่ทำให้เราลื่นไหลและต่อยอดความสุขอย่างเป็นธรรมชาติ
ผลลัพธ์ที่ได้มิเพียงเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดจากความคิดดีๆเท่านั้น แต่ยังเสริมสร้างสัมพันธ์ที่ดีอย่างไม่มีเงื่อนไขและไม่ยึดติด ก่อให้เกิดพลังแห่งการสร้างสรรค์หลอมรวมต่อยอดความสุขเป็นหนึ่งเดียว
ผู้นำหลายคนบอกผู้เขียนว่าถ้าเราเริ่มต้นของปีใหม่ด้วยการนำเอาเคล็ดลับนี้ไปช่วยคนที่อยู่รอบข้าง 3 คนเพื่อสะกิดต่อมสุขใจในการนำศักยภาพที่อยู่ภายในมาสร้างเป็นความสำเร็จด้วยรอยยิ้มฝ่าวิกฤติ และเขาเหล่านั้นก็ช่วยคนอีก 3 คนทวีคูณกันไป เราสามารถจะทวีคูณการกระจายรอยยิ้มเพื่อสร้างภูมิต้านทานภายใต้วิกฤติ ซึ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการนำรอยยิ้มของไทยหรือ Land of Smile กลับมาเหมือนเดิม
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 34 ฉบับที่ 3,010
โดย อาจารย์กฤษณ์ รุยาพร E-mail : kris@e-apic.com, Mobile 081-617-7785
|