E-APIC : Asia Pacific Innovation Center - The Leading Organization and Leadership Development Center

   ความละเมียดละไมในการใช้ชีวิตของผู้นำที่ต้องเร่งความเร็วสู่ความสำเร็จดูเหมือนจะเป็นสิ่งเป็นเสมือน Impossible Dream ในสังคมของความรีบเร่งที่ต้องแข่งขันกับเวลาอยู่ตลอดเวลา เราจะถวิลหาเวลาที่ขาดหายไปก็ต่อเมื่อร่างกายเราเริ่มป่วยหรือชีวิตเริ่มเข้าสู่ทางสองแพร่งที่เรียกว่า Mid Life Crisis
   ผู้เขียนเคยพาผู้บริหารระดับสูง 3 ท่านที่เป็นผู้ก่อตั้งและเป็นเจ้าของธุรกิจชั้นนำในประเทศไทยและในภูมิภาคเอเซียไปลอยเรือดูพระอาทิตย์ขึ้นในอ่าว Dolphin Bay หน้าบริเวณศูนย์ฝึกอบรม เอเซีย แปซิฟิก อินโนเวชั่น เซ็นเตอร์ (APIC) ณ อุทยานแห่งชาติสามร้อยยอด ปราณบุรี เพื่อให้ผู้บริหาร มีเวลา จิบกาแฟและค่อยๆ ดูพระอาทิตย์ขึ้นจากนำ้โดยมีปลาโลมาว่ายเคลียคลออยู่รอบๆเรือที่ลอยลำอยู่
   กลุ่มผู้บริหารทั้ง 3 ท่านสารภาพกับผู้เขียนว่าตลอด 10 ปีที่ก่อตั้งบริษัทพันล้านขึ้นมาพวกเขาไม่เคยหยุดให้เวลา “ละเมียดละไม” กับตัวเองและกับการสร้างบัญชีสัมพันธภาพกับเพื่อนผู้ร่วมก่อตั้งมาด้วยกัน และดูเหมือนเริ่มตระหนักถึงปัญหาทางด้านสุขภาพ ความเครียด ความขัดแย้งทางความคิดและสัมพันธภาพที่เริ่มเปราะบางตลอดจนรสชาติของความสนุกในการทำงานจืดจางหายไป
   ในช่วงที่อยู่ที่ศูนย์ฝึกอบรม 3 วันผู้เขียนได้แลกเปลี่ยน บันได 3 ขั้น เพื่อสัมผัสความความละเมียดละไมความสุข แก่ผู้บริหารระดับสูงกลุ่มนี้อันได้แก่

      1. สัมผัสอัจฉริยะภาพบนต่อมสุขใจ  หนี่งในผู้บริหารเล่าให้ฟังถึงการใช้ชีวิตอย่างรีบเร่งเริ่มจากการตื่นแบบไม่เต็มตื่นเพราะกลางคืนมักจะหลับไม่ลึกและมักจะตื่นกลางดึกมาคิดถึงปัญหาคาใจที่คิดไม่ออก พลังชีวิตที่อยากจะเด้งตัวเองออกมาจากเตียงนอนเริ่มน้อยลงทุกวัน ความเร่งรีบในการทำงานดูเหมือนจะดูดพลังชีวิตและรอยยิ้มออกไปจากตัวเขาจนหมดสิ้น คำว่า Burn out น่าจะบรรยายความหมายของชีวิตได้ดี
   ในขณะที่อีกท่านเริ่มมีปัญหาเรื่องความดันโลหิตสูงประชุมทีไรความดันสูงปริ็ดเป็น 190 ทุกทีและส่วนอีกท่านมีปัญหากรดไหลย้อนกลับหรือที่เรียกว่าโรค Gerd ที่เป็นที่ฮิตกันในหมู่นักบริหารในปัจจุบัน
   ผู้เขียนจึงให้ผู้บริหารทั้งสามท่านเขียนรายละเอียดสิ่งที่ทำในแต่ละวัน สิ่งไหนที่ชอบและไม่ชอบรวมทั้งยังทำแบบสอบถามความถนัดเชิงอัจฉริยภาพ (Multi-Dimension Intelligence profile (MIP)) ที่สามารถวิเคราะห์อุปนิสัยพื้นฐานของต่อมสุขใจที่เป็นเสมือนขุมพลังของชีวิตของทั้งสามท่าน เมื่อได้ข้อมูลของงานที่เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในช่วงวิกฤตทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นทำให้แต่ละคนถูกดึงไปทำในสิ่งที่ไม่ชอบและไม่ถนัด เมื่อไม่มีเวลา หยุดละเมียดละไมกับความคิดในการวางพิมพ์เขียวและกลยุทธ์ของการเดินทางที่ถูกต้องทำให้แต่ละคนเกิดความเครียดทวีคูณส่งผลให้พลังชีวิตเหือดแห้งไปก่อให้เกิดผลร้ายต่อสุขภาพโดยรวมอีกด้วย เมื่อหยุดมีเวลาคุยด้วยข้อมูล MIP ของความชอบและความเก่งของทั้งสามท่าน ทำให้สามารถตกผลึกถึงทางออกในการหยุดปรับโฟกัสของความต้องการในงานให้ตรงกับต่อมสุขใจ ปัจจุบันผู้บริหารที่เก่งเรื่องคนใช้เวลาส่วนใหญ่กับงานแก้ปัญหา ในขณะที่อีกท่านเก่งเรื่องงานภาค ปฎิบัติกลับต้องไปพะวงถึงการหาเงินในช่วงวิกฤต ส่วนท่านสุดท้ายเก่งเรื่องการวิเคราะห์แต่ต้องไปบริหารบุคคลและสหภาพ
   เมื่อหยุดปรับบทบาทให้ตรงกับต่อมสุขใจ โดยท่านที่เก่งวิเคราะห์ให้ไปโฟกัสเรื่องแก้ปัญหาและการบริหารการเงิน ท่านที่เก่งเรื่องคนก็ไปช่วยดูความสัมพันธ์กับฝ่ายบุคคลและสหภาพ ส่วนท่านที่เก่งเรื่องปฎิบัติก็ลงไปลุยงานด้าน Operation เต็มตัว ทำให้แต่ละท่านโฟกัสบทบาทความรับผิดชอบให้ตรงกับทั้งสมองและหัวใจของผู้นำ ผู้บริหารทั้งสามท่านกลับมาบอกผู้เขียนว่าหลังจากปรับโฟกัสให้ถูกจุดว่า ความละเมียดละไมของความสุขในเวลาทำงานที่ใจรักดูเหมือนจะเกิดขึ้นดั่งคำว่า It’s time to work, it’s time to have fun คือเวลาทำงานก็คือเวลาที่ได้สนุกแล้วซิ

   2. เพิ่มกายให้แกร่ง เมื่อวางพิมพ์เขียวสร้างแผนที่แห่งความสุขในการทำงานชัดแล้ว ผู้เขียนได้นำ Personal Coach ทางด้านวิทยาศาสตร์ทางกีฬาและ ผู้เชียวชาญทางด้านอาหารมาบรรจงวางรูปแบบสถาปัตย์กรรมของพิมพ์เขียวในการใช้ชีวิตในรูปแบบใหม่ เริ่มจากการกินที่มีคุณภาพ การเลือกอาหารให้ถูกกับสไตล์ของจริตของผู้นำ กระบวนการออกกำลังเพื่อสร้างความแข็งแกร่ง (Strength) ความทนทาน (Endurance) และ ความคล่องตัว (Flexibility) ไม่ว่าจะเป็นชี่กง โยคะ วิ่ง ขี่จักรยานต์ หรือว่ายนำ้ เป็นต้นเพื่อประยุกต์ให้เข้ากับ life style ของผู้บริหารแต่ละท่าน

   3. สร้างสปาใจและบัญชีแห่งความสัมพันธ์ให้แข็งแรง  การปรับจังหวะชีวิตและปล่อยวางใจอย่างมีสติเป็นภูมิต้านทานที่จำเป็นจะต้องสร้างขึ้นเพื่อการใช้ชีวิตอย่างมี สติ มีสมาธิและมีปัญญา โดยมีโปรแกรมของการผสมผสานการใช้ชีวิตเริ่มตั้งแต่การตื่น การล้างสารพิษ การออกกำลัง การกิน การนั่งสมาธิและวิปัสสนาเพื่อกำหนดจิตให้มีสมาธิและละเมียดละไมกับภาระกิจที่สำคัญในปัจจุบันตลอดจนการเฝ้ามองบัญชีของความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นความคิด คำพูดและการกระทำกับคนที่อยู่รอบข้างเรา ผู้บริหารทั้งสามท่านได้สะท้อนการเปลี่ยนแปลงหลังจากมีโอกาสไปใช้เวลา 3 วัน 2 คืน ละเมียดละไมที่ปราณบุรีและมีการติดตามการเปลี่ยนแปลงต่อเนื่อง อีก 6 เดือนโดยกล่าวไว้อย่างน่าสนใจว่ามิเพียงแต่จะมีคุณภาพของการใช้เวลากับตัวเอง เพื่อนร่วมงานแล้ว ความสัมพันธ์ในครอบครัวก็กลับมาแน่นแฟ้นและมีีเวลาที่จะละเมียดละไมที่จะทำกิจกรรมร่วมกันอย่างมีรอยยิ้มจากสมองและหัวใจ