E-APIC : Asia Pacific Innovation Center - The Leading Organization and Leadership Development Center

   วิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบันก่อให้เกิดความเครียดอย่างมากให้แก่ผู้นำและมืออาชีพในปัจจุบันทำให้เป็นโจทย์ใหญ่ของประเทศไทยในปัจจุบัน ความเครียดที่เกิดขึ้นนี้ถ้าเราสามารถใช้ในปริมาณและเวลาที่ถูกต้องก็สามารถสร้างแรงขับในชีวิตได้ แต่เราจำเป็นที่จะต้องบริหารระดับของความเครียดและสร้างภูมิต้านทานของรอยยิ้มทั้งกายและใจเพื่อปรับระดับบริหารความเครียดให้อยู่ในปริมาณที่สมดุลย์ ปกติแล้วในอดีตเมื่อเราต้องเจอกับสัตว์ร้ายหรือภัยอันตรายความเครียดจะเกิดขึ้นเพื่อให้ร่างกายเราพร้อมที่จะต่อสู้โดยต่อมหมวกไตจะขับฮอร์โมนอะดรีนาลีนออกมาทำให้เรามีพลังในการทำสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อนเช่นเมื่อเกิดไฟไหม้เราสามารถจะมีพลังยกตู้เซฟออกมาได้อย่างเหลือเชื่อ แต่เมื่อสถานะการณ์ผ่านไปร่างกายก็จะขับฮอร์โมนนี้จากร่างกายและปรับระดับให้อยู่ในระดับปกติ
      ปัจจุบันเมื่อมีสถานะการณ์วิกฤตโดยเฉพาะในเรื่องเศรษฐกิจและสังคมที่เกิดขึ้นและถาโถมเข้ามาหาเราอย่างต่อเนื่องต่อมหมวกไตจะขับฮอร์โมน อะดรีนาลีนออกมาอย่างต่อเนื่องตลอดเวลาซึ่งเป็นฮอร์โมนตัวร้าย ยิ่งออกมามากเท่าไหร่จะยิ่งเจ็บปวด สังเกตเวลาโมโห ผิดหวัง ไม่ได้ดั่งใจ โกรธเกลียดใครมากๆหัวใจจะเต้นแรง บางทีหายใจไม่ออก ถ้าเครียดบ่อยทำให้อะดรีนาลีนหลั่งบ่อยๆต่อมต่างๆ ที่สร้างเมล็ดเลือดขาวซึ่งเป็นการสร้าง สร้างทหารเช่นต่อมทอลซิล ต่อมไทมัส จะฝ่อ ภูมิต้านทานจะลดลง โรคร้ายต่างๆ แห่งความเสื่อมก็จะมาเยือนร็วกว่าปกติเช่น มะเร็ง เบาหวาน ความดัน หัวใจ ฯลฯ
   ผู้เขียนเองเคยร่วมประชุมกับผู้บริหารของระดับสูงขององค์กรชั้นนำซึ่งต้องตัดสินใจในการ Lay-off พนักงานออกเพื่อสู้ภัยวิกฤต ผู้บริหารท่านนี้ดูแล Human Resource ของบริษัทและได้ทำเรื่องนี้มาหลายเดือนเพื่อลดต้นทุน วันที่มีการประชุมเขารู้สึกหน้ามืดและต้องนำตัวไปเข้าห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลเพราะความดันขึ้นถึง 250 และเส้นเลือดในสมองแตก
   ทีมของผู้เขียนได้มีโอกาสเป็น Coach ให้กับผู้บริหารท่านนี้ ในการปรับดุลยภาพของการใช้ชีวิตเพื่ออสร้างภูมิต้านทานที่อยู่ในตัวเราเพื่อเป็นเสมือนทหารที่สามารถต่อสู้กับสภาวะวิกฤตที่ถาโถมเข้ามาอยู่ตลอดเวลา ถ้าภูมิต้านทานแข็งแรงเราก็สามารถจะต่อสู้กับระดับความเครียดที่ถาโถมเข้ามาตลอดเวลาด้วยการเพิ่มรอยยิ้มของดุลยภาพจากกายและใจ เมื่อกายเคลื่อนที่และใจนิ่งโดยเน้นการเพิ่มคุณค่าของการใช้ต่อมสุขใจ รอยยิ้มและอารมณ์บวกซึ่งเป็นบ่อเกิดของสารสุขใจจะเป็นแรงขับในการเพิ่มภูมิต้านทานความเครียดได้อย่างดี

   รอยยิ้มจากกาย การออกกำลังเป็นสิ่งหนึ่งที่สำคัญในการสร้างรอยยิ้มจากร่างกายของเรา ผู้เขียนได้ร่วมวางโปรแกรมการออกกำลังให้กับผู้บริหารโดยออกกำลังให้ถึงจุดที่สารเอนโดฟินส์หรือสารแห่งความสุขหลั่งออกมาซึ่งสามารถคำนวนได้จากการออกกลังให้ถึงประมาณ 65-86%   ของความสามารถสูงสุดของการเต้นของหัวใจหรือ เท่ากับ (220-อายุ)X(65-85%) เป็นเวลาอย่างน้อย 15 นาทีเริ่มตั้งแต่เริ่มเดินด้วยกันช้าๆ และค่อยๆเพิ่มจากเดินเป็นวิ่ง จนกระทั่งพาเข้าไปร่วมวิ่งมินิมาราธอน 10 กม ผู้บริหารท่านนี้กล่าวไว้อย่างน่าสนใจว่า เมื่อเริ่มวิ่งไปจนถึงจุดหนึ่งร่ายกายจะส่งสารเอนดอฟินส์หรือสารแห่งความสุขที่ทำให้เกิดอาการตัวเบา เกิดความสบายที่ซาบซ่านไปทั่วสรรพางศ์กาย สมองปลอดโปร่ง ความเครียดที่เกิดขึ้นทำให้สมองตื้อทึบก็มลายหายไป ปกติแล้วในการออกกำลังทางด้านแอโรบิกทุกชนิด ไม่ว่าขี่จักรยานต์ ว่ายนำ้ รวมทั้งการวิ่งควรไปให้ถึงจุดที่เอนเดอร์ฟินสหลั่งจะทำให้สั่งสมองส่วนไฮโปทาลามัส ให้หลั่ง Growth Hormone ออกมา ฮอร์โมนตัวนี้จะไปกระตุ้นต่อมใต้สมองให้สร้างเมล็ดเลือดขาวให้ทำงานเต็มที่ ถ้าเรามีความสุข เกิดปิติ ต่อมไพเนียลในสมองจะขับฮอร์โมนเอนดอร์ฟินออกมา ฮอร์โมนเอนดอร์ฟินเป็นยาระงับปวดที่ดีที่สุดในโลกเพราะแรงกว่ามอร์ฟินถึง 250 เท่า สังเกตเวลาเราหัวเราะหรือมีความสุข จะหายปวดก็เพราะฮอร์โมนตัวนี้ ผู้บริหารจำเป็นที่จะต้องมีการวิเคราะห์ Leadership Fitness เพื่อ customize กระบวนการออกกำลังที่เหมาะสมกับความแข็งแกร่งในแต่ละระดับ

   รอยยิ้มจากใจ การใช้ชีวิตอย่างมีสมดุลย์ด้วยการกระตุ้นต่อมสุขใจให้ทำงานแทนที่จะเป็นต่อมเครียดเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องวางแผนให้กับชีวิตอย่างเป็นระบบมิฉะนั้นเราจะอยู่ในภาวะตั้งรับกับการบริหารความเครียดแทนที่จะรุกในการบริหารความสุข ผู้เขียนมักจะได้   Comment ที่น่าชื่นใจทุกครั้งหลักจากการจัดหลักสูตร SMILE@Leadership Effectiveness โดยผู้บริหารจะได้รับกระบวนการในการหยุดอย่างมีสติเพื่อค้นหาต่อมสุขใจที่ซ่อนเร้นอยู่ภายใน เข้าใจระดับอารมณ์บวกและอารมณ์ลบที่เกิดขึ้นในชีวิตเพื่อวางพิมพ์เขียวของการขับรอยยิ้มจากต่อมสุขใจตลอดจนรายล้อมชีวิตด้วยเทวดาและเทพธิดาที่เสริมดวงเราซึ่งก็คือทีมงานที่มีความชอบในสิ่งที่เป็นต่อมเครียดของเรา
นอกเหนือจากนั้นแล้วสิ่งที่สำคัญก็คือจะต้อสร้างบรรยากาศที่สร้างสรรค์รอยยิ้มจากทั้งสมองและหัวใจเพื่อต่อยอดความสุขซึ่งกันและกัน ผู้บริหารหลายท่านนำเอากระบวนการ SMILE นี้ไปใช้กับตัวเอง ที บ้านและที่ทำงานต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าช่วยสร้างรอยยิ้มและเติมเต็มความสุขในชีวิตจากตัวเราจริงๆ เมื่อเรามีรอยยิ้มจากใจเราก็จะมีรอยยิ้มเหลือเฟือที่จะแจกจ่ายให้กับคนรอบข้าง
   ถ้าเราสร้างดุลยภาพของการขับสารแห่งความสุขจากกายและขับพลังแห่งควาามสุขเสริมจากต่อมสุขใจ เราจะมีภูมิต้านทานที่เหลือเฟือในการยิ้มให้กับความเครียดในยามวิกฤตในปัจจุบัน